Beer Friendly Music
วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555
SICK CHAINSAWS: Holocaust Command
เป็นเรื่องที่คิดกี่ทีก็แปลกดี เพราะคอนเสิร์ตนี้ มันเกิดขึ้นในวันศุกร์ วันที่ผมต้องขึ้นเรียนตั้งแต่ 8 โมงครึ่งยันเที่ยงวัน! นับเป็นอะไรทีบ้าคลั่งอย่างมากที่เด็กบ้านนอกคนหนึ่งจะระเห็จจากการเลคเชอร์ ของมหา'ลัยในต่างจังหวัดมายังเมืองหลวง ระยะทางร่วมเกือบๆ 200 กม. เพียงเพื่อจะมาชมงานคอนเสิร์ตดนตรีอันเดอร์กราวนด์งานเดียว! แล้วก็กลับบ้านในวันเสาร์ถัดมา!! แต่ในเมื่อมันผ่านมาแล้ว จะไปนึกถึงนึกคิดอะไร มันก็ไปเปลี่ยนแปลงอดีตอะไรไม่ได้แล้ว เพราะงั้น ผมจะมาเล่าให้พวกคุณฟังการเดินทางอันบ้าระห่ำของผมเอง! (*ใครไม่อยากเรื่องราวช่วงที่ผมยังอยู่ตจว. ให้ข้ามย่อหน้า 2 ไปอ่านที่เหลือได้เลยนะครับ)
รุ่ง เช้าผมเดินทางออกจากบ้านพร้อมกับกระเป๋าเรียนและเป้เดินทางตามเวลารถโดยสาร (8.25) ไปถึงม.ก็ขึ้นห้องเรียนตามปกติ ศึกษาการเลคเชอร์ของวิชาสุนทรียภาพเพื่อชีวิต ว่าด้วยภาพประติมากรรมแบบต่างๆ และก็ต้องนั่งอื้ออึงไปด้วยเพลงจากศิลปินเก่า รวมแล้วก็ราวๆ 6-8 เพลง (ไม่ขอบอกว่าแนวใด!!) มันกัดกร่อนรูหูอย่างเสียอารมณ์ และยิ่งเป็นวันที่ต้องออกไปลุยงานคอนเสิร์ตแล้ว ยิ่งทำให้อยากจะเดินไปปิดเพลงจากเครื่องเล่นของอาจารย์ผู้สอนเสียให้เสร็จ จริงๆ พอออกจากห้งเรียน ก็รับทานอาหารกลางวันที่เตรียมมาจากบ้าน สลัดเสื้อนักศึกษาทิ้ง ยัดมันใส่กระเป๋าเรียน ส่งให้เพื่อนที่อยู่หอใกล้ๆม. และบึ่งไปยังท่ารถไปยังอนุสาวรีย์ของอ.เมืองทันที
ผมมา ถึงกทม.ก็ปาไปบ่าย 3 โมงกว่าๆแล้ว และก็เดินทางไปล่าไอเท็มที่ร้านของพี่รักษ์ 666 เพื่อเช็คดูสินค้าใหม่ๆ แน่นอน ผมได้ ITP มาหนึ่งเล่ม พร้อมทั้งได้เจอเมทัลเฮดรุ่นน้อง เลยนั่งคุยเรื่องไอเท็มที่จะนำมาให้วงเฮดไลน์อย่าง TOXIC HOLOCAUST วงแธรชเมทัลรุ่นใหม่ได้ลงอักขระกัน สักพักผมและน้องคนนี้ก็ติดสอยห้อยตามขบวนไปกับเมทัลเฮดรุ่นพี่คนหนึ่งเดิน ทางออกจากร้าน 666 ไปขึ้น BTS อนุสาวรีย์ และได้เจอรุ่นน้องอีก 2 คนระหว่างทาง พวกเรา 6 คนค่อนข้างเสียเวลากับการเดินทางไปยัง BTS อุดมสุขพอสมควร เพราะต่างคนต่างก็ไม่ค่อยเจนจัดกับการเดินทางสายนี้กันสักเท่าไหร่ แต่พอเราเดินทางมาถึง ก็เดินตรงลงมายังบริเวณลานสังหารได้สำเร็จ ที่ซึ่งผมได้เห็นการ "บูม" ต้อนรับ TOXIC HOLOCAUST เฮดไลน์ของบรรดาแธรชเชอร์เลือดเดือดอยู่ข้างนอก แน่นอน ผมได้บันทึกช็อตเด็ดที่เข้มขลังและตลกโปกฮานี้เป็นที่เรียบร้อย (ไม่แน่ใจว่าจะมีใครบ้าจี้เข้ามาดูมันสักกี่ Views แต่ไม่น่าผลาญเวลาในชีวิต พวกเขานัก เพราะมันสั้นแค่ 10 วินาที สั้นกว่าเพลงไกรน์คอร์หลายๆเพลงอีก ฮา) พอเดินต่อไป ก็เจอทีมงานจากนิตยสาร สังกัด และร้านค้านำไอเท็มมากองวาง (อย่างมีระเบียบ) รอให้มีคนมาอุดหนุน แต่เท่าที่ได้ดู ก็ยังมีคนมาไม่มากนัก (เนื่องจากงานเริ่ม 1 ทุ่มนี่นา) สักพักผมก็ไปหารุ่นน้องที่สนิทกันแทน และได้รับบัตร โปสเตอร์ และรูปของ Joel Grind หัวหอกแห่ง TOXIC HOLOCAUST พร้อมทั้งป้ายอาร์มซึ่งชาวอันเดอร์เรียกกันอย่างแพร่หลายว่า "แพช" (Patch) ที่ผมได้ฝากเขาซื้อไว้มาด้วย โดยแพชของผมได้รีบการลงอาคม (เซ็นด้วยปากกาเมจิค) เป็นที่เรียบร้อยและ และเบื้องบนก็ยังคงมีการซาวนด์กัน ลูกค้าในโซนตึกทางเข้างานยังคงโหรงเหรง ผมเลยตัดวินใจออกไปซื้อข้าว(เย็น+ค่ำ)มาเตรียมไว้กินเพื่อชาร์จพลังงาน แต่ยิ่งนานก็ยิ่งแปลกใจ พวกเรารอจน 6 โมงซึ่งเป็นเวลาของการแจกลายเซ็น แต่กลับไม่มีวี่แววของ TOXIC HOLOCAUST แต่อย่างใด (ล่าสุดเห็นหายเข้าไปในซอยแถบทางเข้าสถานที่จัดงาน) แต่ผมคิดบวกในใจไว้แล้วว่า "ยังไงกูได้ลายเซ็นเขามาหน่อยนึงแล้ว แค่นี้รอไหวน่า" ผมเลิกคิดถึงช่วงนี้ไปและไปปักหลักรอจนทีมงานเปิดประตูเข้าสู่ลานสักหาร พอวางข้างของเสร็จไม่นาน Remains แธรชไทยโกอินเตอร์ก็เริ่มเข้ามาซาวนด์เช็ด (ด้วยอินโทรเพลง Troops of Doom ของ Sepultua) คนดูเริ่มโค้งตามเพลงตั้งแต่เพลงนี้เลยครับ แล้วอินโทรของ Kill the wimps ก็มาแบบไม่มีปี่ขลุ่ย คนดูเริ่มออกอาการทันตาเห็น เหล่าแธรชเชอร์บ้าพลังบางคนเริ่มซัดกันไปมาอยู่บ้าง บางส่วนก็ไปโยกสั่นเป็นเจ้าเข้าหน้าเวที บางส่วนตีวงกว้างทำให้ช่วง 2-3 วงแรกวงมอชพิตไม่เยอะเท่าที่ควร (เดาว่าคนไทยชอบเก็บแรงไว้ลุยวงแค่เฮดไลน์มากกว่าปล่อยของตั้งแต่เริ่ม) ว่ากันที่ตัววง Remains ประกอบด้วย Ekkachai (ร้องนำ) Tossapol (กลอง) Sakchai (กีตาร์) Natthawut (เบส/ร้องเสิรม) และสมาชิกใหม่ล่าสุด Ray (กีตาร์ เรียกว่าเป็นสีสันของวงทีเดียว) พวกเขาเคยไปลุยงาย Carnage Fest ที่สิงค์โปร์มาแล้ว และกำลังจะได้ไปรบร่วมกับเหล่าซามูไรในงาน True Thrash Fest และวงรุ่นใหญ่อย่าง Sacrifice Assassin หรือรุ่นรองลงมาก็ Witchburnner ที่ญี่ปุ่นในเดือนหน้าด้วย นับเป็นสิ่งที่ทำให้วงแธรชเมทัลไทยหลายวงต้องอิจฉาตาร้อนอย่างช่วยไม่ได้ ฝีไม้ลายมือของสมาชิกแต่ละคนก็ใช่ย่อย Ekkachai ทำวงหลายแนวและร้องได้ดีทุกแนวสไตล์ พอมาร้องแนวนี้ก็คำรามได้สะใจเหมือนกัน ท่วงท่าบนเวทีดูคึกคักกระฉับกระเฉงวิ่งไปมาแทบทั้งโชว์และคอยเอนเตอร์เทนให้ คนดูร้องเพลงตามด้วย Tossapol ที่ตีกลองในวงบรูทัลเดธ พอมาเล่นในวงนี้ก็สามารถปรับสไตล์การตีได้ดี Natthawut นอกจากเล่นเบสแล้วก็แหกปากช่วยร้องด้วยในบางคราว การสับริฟฟ์ของกีตาร์เป็นเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงให้เพลงมีพลังได้ดี บทบาทการโซโลดุจะตกไปอยู่ที่ Sakchai เป็นหลัก ส่วน Ray ช่วยโซโลด้วยเกือบทุกเพลง พวกเขามีทั้งเพลงเก่าและใหม่มาเล่น อ้อ! มีการคัฟเวอร์ A Lesson in Violence ของ Exodus ด้วย แน่นอนว่าพอเอ่ยชื่อขึ้นริฟฟ์คนดูก็ซดกันทันตาเห็นทีเดียว นับเป็นการเปิดม่านพิธีกรรมแธรชได้อย่างดีเยี่ยมทีเดียวครับ
หลังจาก Remains ลงจากเวทีไป ผมก็วิ่งโร่ลงมาหาน้ำท่าดื่มแก้เหนื่อย กลับมาก็เจอ Goatchrist666 วอร์เมทัลรุ่นใหม่กำลังแผดเสียงผ่านไมค์อยู่ สมาชิกประกอบด้วย Sattaya (ร้องนำ/กีตาร์) Thaweepat (ลีดกีตาร์) Sutthinan (เบส) และ Tanasan (กลอง Nuclear Warfare) โชว์ของพวกเขาไม่มีการแท็คให้ได้เห็น บางคนยืนแช่นิ่งเหมือนถูกผีสะกด แต่บางส่วนก็สั่นกบาลให้กับบทเพลงที่ GC666 จัดออกมา Sattaya นอกจากเล่นกีตาร์และโยกหัวและก็ยังแผดเสียงแบบสุดคอหอยอีกด้วย Sutthinan โยกกระจายและกระตุกเบสอย่างลื่นไหล แม้อายุน้อยสุดในวงแต่ฝีมือน่าจับตามากครับ Thaweepat คอยโซโลกีตาร์ นานๆทีก็โชว์การแท็ปปิงรัวๆให้ฟังบ้าง Tanasan บลาสต์กลองแบบไม่กลัวหมดแรง ทั้งๆที่ตนก็ต้องไปเล่นให้กับ Nuclear Warfare ซึ่งเป็นวงหลักอีกวง หลังวงนี้เล่นจบผมก็เพิ่งมารู้ว่า Joel Grind มาอยู่ข้างๆเวทีแล้ว และก็เริ่มมีบรรดาแธรชเชอร์มาชักภาพกันแล้ว เลยรีบเข้าไปขอถ่ายรูปด้วยคน
เนื่อง จากสมาชิกวง Vault แธรชเมทัลอนาคตไกลจากมาเลย์เซียไม่สามารถมาร่วมเล่นได้ ทางผู้จัดจึงส่งไม้ให้กับวง Strike Out ที่ขึ้นเป็นวงที่ 3 ซึ่งดูเหมือนพวกเขาจะโดน Joel ขโมยซีนไปเลยในช่วงแรก แต่ครอสโอเวอร์หน้าใหม่วงนี้ก็มีเพื่อนๆมาเชียร์อยู่พอสมควร พวกเขาประเคนครอสโอเวอร์สุดอลหม่านและรวดเร็วใส่คนดูอย่างบ้าคลั่ง หลายคนที่ออกไปหาน้ำท่าดื่มพอกลับเข้ามาดูทำหน้าตกใจกับเพลงและแอคชันของ Strike Out นักร้อง มือกีตาร์ และมือเบสวิ่งพล่านไปมาอย่างไม่กลัวเหนื่อย และยังคงทำหน้าที่ของตนได้ดี คนเลยมามอชกันหน้าเวทีเยอะขึ้น มีหนหนึ่งที่นักร้องโพล่งถึงการแบ่งแยกของดนตรีขึ้นอย่างไม่แคร์หน้าอินทร์ หน้าพรหมที่ไหนเลย (คาคว่าหลายๆคนคงรู้สึกร้อนๆหนาวๆเหมือนกันครับ เจองี้เข้า) ทางวงไม่ลืมที่จะคัฟเวอร์เพลของ Suicidal Tendencies และ 2 เพลงแต่งใหม่ (ที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ) ให้ฟังด้วย แม้เป็นวงที่มีอิเมจเป็นแกะดำของงาน แต่คาดว่าหลายคนก็คงจะสะใจและเผลอปันใจให้กับ Strike Out ไปบ้างไม่มากก็น้อย
คราวนี้มีต่อมหกรรมแธรชกันด้วยแธรชเมทัลจากสิงค์ โปร์ Demonification เป็นวงที่หายหน้าหายตาไปนาน เพิ่งมารียูเนียน เมื่อ Fai Sall (กีตาร์/ร้องนำ) ลาออกจากการเล่นกีตาร์ให้ Ironfist พร้อมทั้งรวบพรรคพวก ได้แก่ J.Rage (กลอง เป็นสมาชิกจากยุคแรกของวง) และ Thoth Warsaw (เบส) มาปล่อยอัลบัมใหม่ในปี 2011 นี่เอง ไม่เพียงแค่นั้น ทางวงยังออกเล่นตามงานเมทัลในบ้านเกิดอยู่หลายงาน มาเมืองไทยก็จัดเต็มทันที สมาชิกแต่ละคนอิเมจเต็มสูบไปด้วยชุดหนังดำขลับ เสริมหมุดหนามอีกชั้น และทาตาดำขลับ แลดูโหดเหี้ยมขึ้นไปอีก (ในส่วนของ Fai จะมีทรงผมโมฮอว์คสีแดงที่ดูขัดๆตาไปบ้าง) ลีลาการแสดงแต่ละคนเต็มที่มาก Thoth กระตุกเบส บางทีก็หันมาแลบลิ้นปลิ้นให้คนดูบ้าง Fai ยามร้องจะยืนคอนโทรลกีตาร์ทรงตัว X และร้องอย่างมีสมาธิ แต่เขาก็โยกอย่างเมามันส์ในหลายช่วงด้วย เล่นไปได้สักพักก็เรียกให้ Ekkachai นักร้องวง Remains ขึ้นเวที เรียกเสียงเฮได้พอสมควร Demonification กับ Ekkachai เลยคัฟเวอร์เพลง Under the Guillotine ให้คนดูคลั่งกันอีกรอบ แล้วทางวงก็เล่นเพลงไปอีกราว 2-3 เพลงก็ลาเวที (ซึ่งส่วนตัวผมว่ามันดูน้อยๆไปนะ แต่ยังไงก็คุ้มค่ามากที่ได้ดูพวกเขาเล่น)
งทื่ 5 คือ Nuclear Warfare แธรชเมทัลแดนสยามที่สั่งสมประสบการณ์มาพอสมควร สมาชิกได้แก่ Karttakorn (เบส/ร้องนำ), Thiti กับ Santi (กีตาร์) และ Tanasarn (กลอง) ก้าวขึ้นเวทีไปประจำตัวแหน่งของแต่ละคน ทางวงพูดคุยกับคนดูเล็กน้อย ก่อนจะส่ง Beerhammer แทร็คเด็ดจากอีพีล่าสุดออกมาให้ฟัง คนดูรุ่นไหนก็คลั่งครับเจอดอกนี้เข้าไป ผมเห็นเมทัลเฮดรุ่นน้าแขนเดี้ยงเข้าเฝือกยังมายืนโยกอยู่ข้างๆเวทีเลย นี่ไม่ต้องพูดถึงคนดูเวทีหรอกครับ อัดกันอย่างบ้าเลือดเลย ลีลาสมาชิกแต่ละคนลูกบ้าเพียบ เผลอๆก็แอบโดดลงมาเซิร์ฟใส่คนดูกันเกือบทุกตำแหน่งทีเดียว Karttakorn วิ่งไปมาอย่างคึกคะนองเมื่อมีเวลา Santi ครบเครื่องครับ วิ่งวนไปมา โยกกีตาร์ ยกขาไปมา Thiti ดูจะใส่อารมณ์เวลาเล่นกีตาร์พอสมควร แสดงสีหน้าไม่ซ้ำแบบทีเดียว ทางวงเล่นเพลงของตัวเองและก็มี Outbreak of Evil ของ Sodom มาคัฟเวอร์ด้วย ทีนี้แหละครับ ฝูงบินบอดี้เซิร์ฟเริ่มถี่แล้ว ผมเห็นมีเมทัลเฮดหญิงขึ้นไปองค์ลง เฮดแบงค์บนเวทีไม่ยั้ง เรียกเสียงเฮและฮาจากคนดูได้ไม่น้อยเลย ก็หวังว่าเราจะได้ฟังผลงานใหม่ของ NW ในเร็วๆนี้นะครับ
มาถึงวงเฮ ดไลน์ Toxic Holocaust แธรชเมทัลจากอเมริกา คงไม่ต้องพูดพร่ำอะไรมาก อีพีและเดโมเป็นกองพะเนิน อัลบัม 4 ชุด วันนี้มากัน 3 คน Joel กีตาร์/ ,Phil ร้อง เบส/ร้องเสริม และ Nikki กลอง ทางวงใช้เวลาไม่นานนักในการเช็คซาวนด์ดนตรีให้เข้าที่ เพลงฮิตและเพลงรองก็ถูกประเคนมาไม่ยั้ง คนดูตอบรับกันเต็มที่อย่างสมกับที่พวกเขารคอยมานาน พากันวิ่งวนเป็นวงกลมแล้วแท็คกัน ส่วนพลเซิร์ฟนั้นก็มากันไม่ขาดสายเช่นกัน ร่วงลงพื้นบ้างมีคนรับบ้าง และยังมีบางคนนึกพิเรนวิ่งขึ้นไปกระฉอกเบียร์ใส่พวกหน้าเวที ใจนึงผมก็ฮาแต่อีกใจก็รำคาญไม่น้อย ไปๆมาๆก็ปาไป 10 กว่าเพลงซะแล้ว แลเห็นท่าทีสมาชิกเริ่มอิดโรย แต่คนดูก็ยังไม่ยอมให้พวกเขาเลิกเล่นง่ายๆ เรียกชื่อวงอังกอร์กันอย่างดังกระหึ่มและพร้อมเพรียง จนทางวงกลับมาเล่นอีก 4 เพลง ปิดฉากการรอคอย วงแธรชเมทัลรุ่นใหม่วงนี้ไปอย่างงดงามและน่าประทับใจทีเดียว ล่าสุดผมก็ได้ยิน Phil มือเบสทางวงที่ได้คุยกับทีมงานและคนดูมาก่อนแล้ว พูดกับคนดูชาวต่างชาติหลังงานเลิกว่า พวกเขาจะกลับมาอีก แต่ เมื่อไหร่ล่ะ?
ที่ อยากติก็คือระบบเสียงที่ยังต้องแก้อีกเล็กน้อย เอาที่ชัดๆเลยนะครับ เวลาผมไปอยู่ใกล้ๆแอมป์จะได้ยินเสียงกระเดื่องกลองดังตั่บๆแบบแปลก และก็เป็นตลอดงาน อันนี้เป็นเพียงข้อติส่วนเดียวที่ผมมีครับ ส่วนมิตรภาพและความเป็นกันเองของบรรดาแธรชเชอร์นั้น ก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม ผมสังเกตเห็นว่า ทุกๆวง ไม่ว่าวงไทย หรือวงนอก ก็จะมีการยกขวดเบียร์ (ช้าง,สิงห์,ลีโอ) ขึ้นมาซดระหว่างเล่นกันด้วย ก็การันตีได้ดีว่า เบียร์ไทย ก็ไม่แพ้ชาติในโลก เช่นกัน!!
วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
ประวัติวง Kreator
ช่วงนี้ผมย้อนกลับมาหาวงเก่าๆฟัง พร้อมๆกับเสพงานของวงแธรชในยุค 80 ฟังควบคู่กันไปด้วย จนมานึกได้ถึงวงแธรช เมทัลจากเยอรมันซึ่งเป็น 1 ใน 3 พลพรรค Teutonic Thrash และเป็นวงเดียวในกลุ่มนี้ที่ใช้มือกีตาร์เล่นพร้อมกัน 2 คน หลายๆคนก็คงรู้จักวงนี้กันดี ถูกครับ Kreator นั่นเอง พวกเขาเป็นอีกวงที่ควรค่าแก่การพูดถึงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะช่วงปีนี้ที่เราควรจับตาดูการเคลื่อนไหวเป็นพิเศษ เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะข่าวที่พวกเขาได้เซ็นสัญญาในการออกอัลบัมกับสังกัดยักษ์ใหญ่ในโลกเมทัลอย่าง Nuclear Blast ยังไงล่ะครับ เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปเจาะลึกกับวงนี้กันเลยครับ

Kreator เป็นวงแธรช เมทัลจากเมือง Essen ประเทศเยอรมันนี ตั้งวงโดยใช้ชื่อว่า Tormentor ในปี 1982 สไตล์การเล่นในช่วงแรกเป็นสปีด เมทัลที่มีอิทธิพลจาก Venom สไตล์การเล่นของพวกเขาคล้ายคลึงกับ Destruction และ Sodom อีก 2 วงแธรช เมทัลที่ยิ่งใหญ่ของเยอรมันนี นอกจากนี้ ทั้ง 3 วงยังมีส่วนช่วยเหลือเหล่าวงที่เป็นผู้บุกเบิกของดนตรีเดธ เมทัลด้วย เนื่องการนำสัดส่วนประกอบของดนตรีไปปรับใช้นั่นเอง
Kreator เริ่มเล่นดนตรีแธรช เมทัลแท้ๆในยุคแรก ก่อนจะนำดนตรี อินดัสเทรียล และ กอธิค เข้ามาผสมผสานในช่วงปี 1992 ถึง 1999 และกลับมาเล่นดนตรีแบบโอลด์สคูลแธรช เมทัลอีกครั้งอย่างในทุกวันนี้
เมื่อเริ่มต้น ทางวงใช้ชื่อวงว่า Tyrant สมาชิกประกอบด้วย Mille Petrozza ร้องนำ/กีตาร์ Jurgen 'Ventor' Reil กลอง และ Rob Fioretti มือเบส ไม่นานก็เปลี่ยนชื่อเป็น Tormentor และ ออกเดโมมา 2 ชุด ปี 1985 ทางวงได้เซ็นสัญญากับสังกัด Noise Records และเปลี่ยนชื่อวงเป็นครั้งสุดท้ายเป็น Kreator เนื่องจากทางสังกัดมีวงชื่อ Tormentor จากฮังการีอยู่แล้ว

Wulf อยู่กับวงเพียงไม่กี่วัน และไม่ได้เล่นในอัลบัมถัดมาที่ชื่อว่า Pleasure to Kill ทั้งที่มีชื่อเขาในเครดิตด้วย ทางวงได้ Jörg "Tritze" Trzebiatowski มาเล่นกีตาร์แทน ซึ่งเขาได้เล่นในอัลบัมนี้ มันกลายเป็นผลงานคลาสสิคอัลบัมหนึ่งของวงการ ได้ Harris Johns (Helloween, Voivod) มาเป็นโปรดิวซ์เซอร์ อัลบัมนี้เป็นที่ถกเถืยงว่าเป็นอัลบัมที่เล่นได้หนักหน่วงและรวดเร็วที่สุดในสายเมทัล แสงให้เห็นถึงฝีมือและเทคนิคของวงที่เพิ่มพูนขึ้น เพลง "Flag of Hate" กลายเป็นเพลงที่โด่งดังไปทั่วทั้งวงการเมทัลในยุโรป จากการได้ Tritze มาร่วมวง ทำให้วงได้มีการออกทัวร์เป็นครั้งแรก (จากที่ก่อนออกอัลบัม Pleasure to Kill พวกเขาได้ออกเล่นสดรวมทั้งหมด เพียงแค่ 5 ครั้งเท่านั้น) ทางวงส่ง EP ส่งท้ายปี 1986 โดยใช่ชื่อว่า "Flag of Hate"


ปีเดียวกันนั้นเอง ผู้กำกับชาวเยอรมันชื่อ Thomas Schadt ก็ได้ถ่ายทำสารคดีของวง (โดยเน้นเรื่องราวของดนตรีฮฟวี่เมทัลในแถบ Ruhr) ใช้ชื่อว่า Thrash Altenessen (ตั้งตามเมือง Essen บ้านเกิดของวง) ปี 1990 ทางวงได้อดีตมือกีตาร์ของ Sodom นาม Frank "Blackfire" Gosdzik มาร่วมวง หลังจากการแยกทางของ Trize มือกีตาร์คนเก่า ในปีนั้นเอง ทางวงออกอัลบัม "Coma of Souls" ซึ่งไม่ได้รับการยกย่องมากเท่ากับงานชุดก่อน (อาจจะมาจากความเร่งรีบในการอัดเพลงและความซ้ำวากของดนตรี) แต่ความิยมและยอดขายยังคงที่ เพลง "When the Sun Burns Red" และ "People of the Lie" กลายเป็นเพลงฮิตของชุดนี้
ยุคตกต่ำของวงมาถึงในต้นยุค 1990 เมื่อดนตรีแธรช เมทัลดั้งเดิม เริ่มถูกหมางเมินจากสื่อ หลายวง เช่น Metallica และ Anthrax เริ่มเปลี่ยนแนวทางให้เข้ากับการตลาด Kreator ก็เริ่มทดลองดนตรีเดธ เมทัล และ อินดัสเทรียล เมทัลในช่วงนี้

หลังจากการอัดอัลบัม "Renewal" ทางวงก็ต้องสูญเสีย 1 ในแกนนำอย่าง Roberto Fioretti มือเบสยุคก่อตั้ง เนื่องจากเขาต้องการทุ่มเทเวลาให้กับครอบครัว และถูกแทนที่โดย Andreas Herz ผู้ไม่ได้มีส่วนร่วมในผลงานใดๆของวงเลย ในปี 1994 Ventor มือกลองก็ออกจากวงไปอีก ทิ้ง Mille เป็นสมาชิกหลักไว้คนเดียว ส่วนคนที่มาแทน Ventor คือ Joe Cangelosi แต่ในปี 1994 Herz ก็ออกจากวง คราวนี้ Christian Giesler ก็เข้ามาเป็นมือเบส แต่สิ่งที่แย่กว่าก็เกิดขึ้น ทางวงหมดสัญญากับสังกัด Epic Records พวกเขาย้ายไปอยู่กับ G.U.N. Records และด้วยสมาชิกชุดใหม่นี้ ก็ได้อัดอัลบัม "Cause for Conflict" ออกมากู้หน้าในปีนั้นเอง ทำให้ดนตรีมีความเป็นสมัยใหม่มากที่สุดในช่วงนั้น ด้วยส่วนผสมจากซาวนด์ของ Machine Head และ Pantera ผลลัพท์ก็คืองานเพลงที่ดิบกร้าวขึ้นกว่าอัลบัมก่อนหน้า





ในปลายปี 2009 ถึงต้นปี 2009 ทางวงก็เริ่มอัดเพลงสำหรับอัลบัมชุดใหม่ โดยใช้ชื่ออัลบัมว่า "Hordes of Chaos" หลังจากนั้น การทัวร์ในนาม "Chaos Over Europe" ก็เริ่มต้นขึ้น โดยเริ่มต้นที่เมือง Tilburg ในเนเธอแลนด์ โดยมีวง Caliban, Eluveitie และ Emergency Gate เข้าร่วม เดือนเมษายน ทางวงทัวร์อเมริกาเหนือโดยเฮดไลน์ร่วมกับ Exodus และมีวง Belphegor, Warbringer, และ Epicurean ร่วมเล่น ในปลายปี 2009 Ventor ก็ถูกบังคับให้ต้องออกจากทัวร์ไปในระยะสั้นๆ ด้วยเหตุผลส่วนตัว โดยช่วงนั้นทางวงก็ได้ Marco Minnemann มาร่วมเล่นในระยะเวลาสั้นๆ
ทางวงได้เซ็นสัญญากับ Nuclear Blast ในต้นปี 2010 ก่อนออกทัวร์อเมริกาเหนือเพื่อเล่นฉลองครบรอบระยะเวลา 25 ปีที่อยู่ในวงการ โดยมีวงร่วมทัวร์เป็น Exodus ,Death Angel และ Suicidal Angels โดยใช้ชื่อทัวร์นี้ว่า "Thrashfest" โดยเริ่มต้นในช่วงปลายปี 2010

แม้ว่าคุณภาพงานในยุคหลังๆ จะไม่ใช่ในซาวนด์แบบเก่าอย่างใน 5 ชุดแรกแล้ว แต่ก็นับเป็นวงในยุค 80 ที่กลับมาผงาดได้อย่างสง่างามอีกวง อีกทั้งใน 3 ชุดล่าสุด ทางวงก็สามารถนำซาวนด์ของเมโลดิคเดธเมทัล หรือที่เรียกว่า "โกเธนเบิร์ก ซาวนด์" เข้ามาใช้กับงานเพลงได้อย่างมีชาญฉลาดและมีคุณค่า ก็ทำให้เห็นแล้วว่า ทางวงก็ยังสามารถนำดนตรีแธรชมาเล่นกับซาวนด์สมัยใหม่ได้ดีอยู่ ที่เหลือ เรามาดูเถอะครับกันว่าอัลบัมที่กำลังจะออกในอนาคต จะมีอะไรให้เราได้สัมผัสกันบ้าง
สมาชิกปัจจุบัน
Miland "Mille" Petrozza – ร้อง, กีตาร์ (1982–ปัจจุบัน,)
Sami Yli-Sirniö – กีตาร์ (2001–ปัจจุบัน)
Christian "Speesy" Giesler – เบส (1994–ปัจจุบัน)
Jürgen "Ventor" Reil – กลอง, ร้อง (1982–1994, 1996–ปัจจุบัน,)
อดีตสมาชิก
กีตาร์
Michael Wulf (เสียชีวิต) – กีตาร์ (1986, ร่วมแสดงเพียงครั้งเดียว) (ex-Sodom)
Jörg "Tritze" Trzebiatowski – กีตาร์ (1986–1989)
Frank "Blackfire" Gosdzik – กีตาร์ (1989–1996) (Mystic (Bra), ex-Sodom)
Tommy Vetterli – กีตาร์ (1996–2001) (Coroner)
เบส
Roberto "Rob" Fioretti – เบส (1982–1992)
Bogusz Rutkiewicz – เบส (1988, ร่วมทัวร์เพียงหนึ่งครั้งใน Bubapest) (Turbo)
Andreas Herz – เบส (1992–1994)
กลอง
Joe Cangelosi – กลอง (1994–1996) (Whiplash, Massacre)
Marco Minnemann – กลอง (2009 September - ร่วมทัวร์กับวงในเดือนตุลาคม)
ประวัติวง Overkill
ในช่วงนี้ เพลงที่ดังก้องให้ในหัวผม ก็คงเป็น Hello from the Gutter ของสุดยอดวงแธรช เมทัลจากนิวเจอร์ซี่ยร์ หลายคนทีฟังแธรชคงร้องอ๋อกันแล้วสินะครับ นี่แหละครับ จากนี้ไป เราก็จะมีคอลัมน์แนะนำประวัติวงดนตรีเพิ่งขึ้นมาอีก 1 คอลัมน์ แล้ววันนี้ ผมก็ขอนำเสนอวง Overkill แธรชเชอร์ทีไม่มีวันตายเจ้าของโลโก้กะโหลกปีศาจ "Chaly" และสีสัญลักษณ์เขียว-ดำ นั่นเองครับ

ประวัติ
Overkill เริ่มตั้งวงจากเถ้าถ่านของวงพังค์นาม "The Lubricant" ประกอบด้วย Rat Skates และ D.D.Verni ทั้งคู่ประกาศหาตัวนักร้องนำและมือกีตาร์ จนได้ตัว Blitz มาร่วมทีม ตอนแรกทางวงได้ใช้ชื่อต่างๆมากมาย รวมทั้งชื่อ "Virgin Killer" แต่ท้ายที่สุดทางวงก็ใช้ชื่อว่า "Overkill"
ในยุคของ Virgin Killer ทางวเน้นเล่นเพลงของ The Ramones ,The Dead Boys และอีกมาก และในช่วงปลายปีที่ 1980 ทางวงก็รับมือกีตาร์เข้ามา 2 คน เพลงที่เล่นก็เปลี่ยนไปเล่นของ Motorhead ,Judas Priest และ Riot ผสานด้วยอิทธิพลดนตรีเฮฟวี่ เมทัล แต่ทางวงก็ยังคงเล่นดนตรีพังค์อยู่ประปรายด้วย โดยเพิ่มซาวนด์เสียงแตกและความรวดเร็ว ทำให้พวกเขากลายเป็น 1 ในผู้บุกเบิกดนตรีสายแธรช เมทัลขึ้นบนโลก
1981 Rich Conte และ Bobby Gustafson เข้าร่วม ช่วงนี้ทางวงก็ได้เริ่มเขียนเพลงของตัวเอง ในปี 1983 Conte ก็ออกจากวง ทิ้งให้ Bobby G รับเหมาหน้าที่มือกีตาร์เพียงผู้เดียว
(ในช่วงนี้ Verni ก็ให้ฉายากับ Ellsworth ว่า Blitz เนื่องจากสไตล์การใช้ชีวิตที่สุดขั้วถึงขนาดทำให้เขาถูกไล่ออกจากวงเป็นเวลา 2-3 วันในช่วง 1983 ทีเดียว)
Rat Skates เป็นผู้ออกแบบโลโก้สีเขียวของทางวงเพื่อสร้างความโดดเด่นบนโปสเตอร์ที่เต็มไปด้วยโลโก้สีแดงและดำของวงอื่นๆ

ต่อมาทางวงก็ได้เข้าร่วมทำสัญญากับค่าย Azra/Metal Storm Records ทำให้ในปี 1984 ทางวงก็ได้ออก EP 4 เพลง ชื่อ "Overkill" มันขายหมดอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดก็ได้เซ็นสัญญากับค่าย Megaforce Records ของ Jon Zazula ค่ายเพลงที่โดดเด่นที่สุดในวงการเฮฟวี่เมทัล ณ ตอนนั้น
Overkill ออกอัลบัม Feel the Fire ในปี 1985 เป็นอัลบัมที่อัดแน่นไปด้วยบทเพลงระดับตำนานมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Raise the Dead ,Rotten to the Core ,Second Son ,Hammerhead ,Feel the Fire ,Overkill แทบทุกเพลงเป็นแธรชเมทัลที่ตามหลอกหลอนชนิดติดหนังหูทั้งสิ้น (มี Cover เพลง Sonic Reducer ของ The Dead Boys ด้วย) มันได้รับการยกย่องจากแฟนๆอย่างล้นหลามว่าเป็นอัลบัมมาสเตอร์พีซ ทำให้ทางวงได้รับการจารึกเป็น 1 ในกำลังขับเคลื่องของแธรช เมทัลจากฝั่งตะวันออก
ช่วงปี 1985และ 1986 ทางวงแบ่งเวลาไปทัวร์ โดยออกทัวร์สนับสนุนอัลบัมในปี 85 และเล่นเปิดให้กับการทัวร์อัลบัม "Peace Sells.." ในประเทศอเมริกาของวง Megadeth ส่วนปี 86 ทางวงไปออกทัวร์ยุโรปร่วมกับวง Anthrax และ Agent Steel

เพลงเด็ดๆในชุดก็คือ Deny the Cross ,Wrecking Crew ,Fear his name ,Use your Head ,Powersurge ชุดนี้ทางวงขัดเกลาการเขียนเพลงและการผลิต และมีความอลังการในเพลงมากขึ้น อันจะเห็นได้ในเพลง "In Union We Stand"
ที่ได้ทำเป็น มิวสิควีดีโอ เพื่อโปรโมทวงสู่สายตาผู้รับชมช่องดนตรีทางโทรทัศน์
การทัวร์ในยุโรปอีกครั้งจึงตามมา โดยความนี้ไปเล่นเปิดให้กับ Helloween ในช่วง 1987 EP "!!!FUCK YOU!!!" ก็วางแผง และเป็นผลงานสุดท้ายที่ Rat Skates ได้ร่วมเล่นกับทางวง
หลังจากที่ Rat Skates ออกจากวงไป ก็ได้ Mark Archibole มาช่วยเล่นในงานทัวร์ จากนั้นก็ได้อดีตมือกลองจากวงของ Paul Di'Anno อดีตนักร้องนำ Iron Maiden ที่ชื่อว่า Bob "Sid" Falck มาร่วมเล่นเป็นการถาวร
Overkill ออกอัลบัม Under the Influence ในปี 1988 เพลงเด่นก็คือ Shred ,Hello from the Gutter และอีกหลายเพลง ภายใต้การโปรดิวซ์ของ Alex Perialas อัลบัมนี้มีความเป็นแธรชและความดิบหยาบมากขึ้น ทว่าบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่และอลังการของงานชุดก่อนไป ทำให้ได้รับคำวิจารย์ในแง่ลบอยู่บ่อยครั้ง
เพลง "Hello from the Gutter" กลายเป็นซิงเกิล และได้เป็นมิวสิค วิดีโอ ออกในรายการ Headbangers Ball ของช่อง MTV ทำให้ Overkill โด่งดังไปทั่วโลก และได้รับการขนานนามว่าเป็นวงเมทัลที่เล่นสดได้อย่างมีพลังที่สุด


Overkill ออก Horrorscope ใน 1991 โดยยังคงมี Terry Date มาควบคุมการผลิตเช่นเดิม ตัวเพลงประกอบด้วยริฟฟ์กีตาร์ที่เกรี้ยวกราด ภาคโซโลของ 2 ขุนขวาน และการแต่งเพลงของ Blitz และ Verni สงบความกลัวจากแฟนๆที่ทราบข่าวการสูญเสียแกนนำในการแต่งเพลงอย่าง Bobby G ได้อย่างรวดเร็ว เพลงในชุดนี้มีความมืดมนและหนักหน่วงขึ้น ทางวงส่งเพลงอันเนิบช้าอย่าง Horrorscope เป็นซิงเกิล มันเป็นการหลีกหนีจากซิงเกิลส่วนใหญ่ที่จะเป็นเพลงที่รวดเร็ว กระนั้นทางวงก็ยังคงมุ่งมั่นกับการทัวร์ต่อไป แสดงให้เป็นว่าพวกเขายังคงเป็นวงที่เล่นสดได้ทรงพลังเป็ฯอันดับต้นๆของสายแธรช เมทัล
ระหว่างการทัวร์ชุด Horrorscope มือกลอง Sid ก็ได้ออกจากวง โดยมี Tim Mallare มาเล่นแทน


ด้วยการครอบครองการออกอากาศในสหรัฐฯของดนตรีกรันจ์ และการที่เคลื่อนวิทยุสายเฮฟวี่เมทัลหลายแห่งได้ปรับเปลี่ยนแนวทาง ทำให้อัลบัม W.F.O. ประสบความล้มเหลวในการหาผู้ขม ในปี 1995 ทางวงก็ได้ออกจากสังกัด Atlantic เนื่องจากขาดการสนับสนุนของทางสังกัด

ในเดือนมีนาคมของปีเดียวกันนั้นเอง ทางวงก็ออกอัลบัมแสดงสดชุดแรกในชื่อ Wrecking Your Neck โดยทำเป็น CD คู่ความยาว 100 นาที โดยการผลิตครั้งแรก จะมีบรรจุ CD EP Overkill เป็นของแถม มิวสิควิดีโอ "Bastard Nation" ก็ออกอากาศ แต่ก็ไม่ได้รับความสำเร็จในสหรัฐฯเช่นเคย

ทางวงเดินสายออกทัวร์ 2 ครั้งในยุโรปเพื่อโปรโมทอัลบัม The Killing Kind โดยครั้งแรกออกทัวร์ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1996 กับวง Megora และ Accuser และครั้งที่ 2 ในเดือนพฤศจิายน ร่วมกับ Anvil และ Stahlhammer ในฤดูร้อน ปีเดียวกันนี้เอง ทางวงก็มีส่วนร่วมในอัลบั้มรวมเพลงชุดที่ 2 ชื่อ "Legends Of Metal - A Tribute To Judas Priest" ของสังกัด Century Media โดย เล่นเพลง Tyrant ซึ่งเป็นเพลงที่มีสไตล์เป็นของทางวงเอง
ในฤดูร้อน ปี 1997 ทางวงออก "!!!Fuck You!!! and Then Some" เป็นอัลบัมที่มี EP "!!!Fuck You!!!" และ "Overkill" รวมทั้ง 2 เพลงในเวอร์ชันแสดงสดจากโปรโมปี 1990 รวมอยู่ด้วย เดือนตุลาคม ปีเดียวกันนั้น อัลบัม "From The Underground And Below" ก็วางแผง ชุดนี้นำอิทธิพลดนตรีอันทันสมัยจากชุดก่อนเข้ามาช่วย มิวสิควีดิโอจากชุดนี้ คือเพลง "Long Time Dyin" แต่เนื่องจากการไร้ตัวตนของดนตรีเมทัลในขณะนั้น มันจึงไม่แม้แต่จะได้ออกอากาศทางโทรทัศน์ ทางวงจึงออกทัวร์ยุโรปเพื่อสนับสนุนผลงานนี้ โดยเริ่มขึ้นในเดือนเมษายน ปี 1998 ร่วมกับวง Nevermore Angel Dust และ Noctunal Rites
ในปี 1998 Blitz ตรวจพบมะเร็งร้ายแรงที่จมูก ทำให้ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยเร่งด่วน โชคดีที่สามารถกำจัดมะเร็งได้ในขณะที่ยังไม่ลุกลาม หลังการพักรักษาตัว ทางวงก็เริ่มทำงานที่ 10 ชื่อ Necroshine โดยเป็นการโปรดิวซ์กันเอง ออกวางแผงในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1999 ทำให้ Overkill เป็นวงแธรช เมทัลวงแรกๆ ที่ออกอัลบัมมาถึง 10 ชุด อัลบัมนี้มีการทดลองสไตล์การร้องที่แปลกใหม่มากขึ้นจากงานก่อน แต่ผลการตอบรับก็ยังดีอยู่
หลังออกอัลบัมนี้ Sebastain Marino ก็ออกจากวง เพื่อไปทุ่มเทเวลาให้กับครอบครัวของเขา เขาถูกแทนที่ด้วยมือกีตาร์ชาวนิว เจอร์ซีย์นาม Dave Linsk ผู้เคยเล่นกับวง Anger On Anger ทางวงทัวร์ยุโรปในเดือนมิถุนายน และได้ร่วมเล่นในงานเทศกาล Dynamo และ With Full Force


หลังจากพักผ่อน Overkill โผล่มาอีกครั้งในปี 2002 กับอัลบัมแสดงสดชุดที่ 2 ชื่อ Wrecking Everything บันทึกที่โรงละคร Paramount ใน Asbury Park รัฐ New Jersey เพลงในชุดนี้ไม่มีเพลงจากชุด Wrecking Your Neck อยู่เลย อัลบัมนี้มีเพลงจากชุด Taking Over และ Under The Influence อยู่มากกว่า ในปี 2002 อัลบัมแสดงสดชุดนี้ก็ถูกทำออกเป็นรูปแบบ DVD ชื่อว่า "Wrecking Everything - An Evening In Asbury Park"
การทัวร์ยุโรปเริ่มในเดือนมิถุนายน ปี 2002 เพื่อสนับสนุนอัลบัม Bloodletting และ Wrecking Everything โดยมีวง Blaze และ Wicked Mystic เป็นวงเปิด ระหว่างการทัวร์ 1-2 ครั้งสุดท้ายใน Nuremburg ประเทศเยอรมันนี Blitz ก็ล้มป่วยและหมดสติบนเวที 3 วันต่อมา ข่าวลือมากมายก็แพร่สะพัด บ้างก็ Blitz เข้าขั้นโคม่า บ้างว่าเขาเป็นอัมพาตถาวร บ้างก็ลือว่าเขาตายแล้ว แต่ 3 วันต่อมา ทางวงก็ออกมาแถลงว่าอาการของ Blitz ลดน้อยลงจนไม่มีผลกระทบอีกแล้ว


ในปลายปี 2004 หลังทัวร์ญี่ปุ่นร่วมกับ Death Angel และ Flotsam and Jetsam ทางวงก็เข้าห้องอัดของ D.D.Verni เอง อัลบัม ReliXIV ได้รับการโปรดิวซ์และมิกซ์โดยทางวงเอง วางแผงในปี 2005
Overkill ออกทัวร์อเมริกาฝั่งตะวันออกในเดือนเมษายนปี 2005 และก่อนที่พวกเขาจะออกทัวร์ยุโรป ทางวงก็ประกาศว่า Tim Mallare จะไม่มีส่วนร่วมในการทัวร์นี้ เขาถูกแทนที่โดนอดีตมือกลองจากวง Hades ชื่อ Ron Lipnicki ในฤดูร้อน ปี 2005 Overkill ออกทัวร์ในชายฝั่งตะวันตกเป็นครั้งแรกในรอบหลาย 10 ปี เล่นในฝั่งตะวันตกของแคนาดาจนถึงรัฐแคลิฟอร์เนียตอนใต้ การทัวร์ประสบความสำเร็จจนปี 2006 Overkill ได้เข้าร่วมงาน Gigantour ของ Dave Mustaine แห่ง Megadeth ในฐานะวงเฮดไลน์ที่ 2 เป็นการทัวร์รอบสหรัฐของ Overkill ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1994 เป็นต้นมา
Overkill กลับมาร่วมงานกับ Jonny และ Masha Zazula อดีตเจ้าของสังกัด Megaforce ผู้มีส่วนร่วมกับค่าย Bodog Music Overkill ปล่อยอัลบัมที่ 15 ในชื่อ Immortaliis ในวันที่ 9 เดือนตุลาคม ปี 2007 อัลบัมประกอบด้วยแกนนำ Blitz ร้องนำ ,D.D. Verni มือเบส ,มือกีตาร์คู่ Derek Tailer และ Dave Linsk ร่วมกับสมาชิกคนล่าสุด Ron Lipnicki มือกลอง โดยมีนักร้องนำวง Lamb of God ชื่อ Randy Blythe มาร่วมร้องนำเพลง "Skull And Bones" ด้วย
ในปี 2009 วันที่ 30 เดือนตุลาคม Overkill ประกาศชื่ออัลบัมใหม่ นั่นคือ Ironbound ออกวางขายในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ปี 2010 ซาวนด์และดนตรีชุดนี้เต็มไปด้วยพลังที่ชาวแธรชโหยหา เสียงร้องทรงพลัง ซาวนด์เบสแข็งกระด้าง กลองรุกว่องไว ริธึมและลูกโซโลขั้นเซียนอัดเต็มอัลบัม
เราจะเห็นได้ว่า กว่า 30 ปีในวงการเมทัล Overkill พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาผ่านช่วงรุ่งเรือง ช่วงตกอับ ในขณะที่วงอื่นๆเปลี่ยนแปลงแนวทางไป บ้างก็กู่ไม่กลับ แต่ Overkill ก็ยังคงออกผลงานอย่างสม่ำเสมอ แม้จะไม่ได้รับการยอมรับในช่วงยุค 90 เท่าไรนัก แต่พวกเขาก็ไม่เคยละทิ้งดนตรีแธรช เมทัลที่เป็นรากเหง้าของตัวเองเลยสักครั้ง และท้ายที่สุด กลับมายืนสง่างามได้อีกครั้ง สมกับคำว่า...
Evil Never Die!!!
*ตอนเขียนบทความนี้เป็นช่วงปี 2011 ซึ่งทางวงยังไม่มีงานอัลบัมล่าสุด The Electric Age ที่ออกวางแผงเมื่อต้นปี 2012 ออกมา ไว้คราวหน้าผมจะมาเขียนรีวิวให้อ่านนะครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)