วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประวัติวง Overkill


ในช่วงนี้ เพลงที่ดังก้องให้ในหัวผม ก็คงเป็น Hello from the Gutter ของสุดยอดวงแธรช เมทัลจากนิวเจอร์ซี่ยร์ หลายคนทีฟังแธรชคงร้องอ๋อกันแล้วสินะครับ นี่แหละครับ จากนี้ไป เราก็จะมีคอลัมน์แนะนำประวัติวงดนตรีเพิ่งขึ้นมาอีก 1 คอลัมน์ แล้ววันนี้ ผมก็ขอนำเสนอวง Overkill แธรชเชอร์ทีไม่มีวันตายเจ้าของโลโก้กะโหลกปีศาจ "Chaly" และสีสัญลักษณ์เขียว-ดำ นั่นเองครับ

Overkill เป็นวงดนตรีแธรชเมทัลจากอเมริกา ตั้งวงในปี 1980 ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ ทางวงมีผลงานเป็นอัลบั้มออก 15 ชุด EP 2 ชุด อัลบั้มแสดงสด 2 ชุดและ 1 อัลบั้มคัฟเวอร์ ทางวงมีตัวละครมัสคอตชื่อว่า "Chaly" เป็นค้างคาวที่มีรูปร่างเป็นหัวกระโหลก ปีกเป็นโครงกระดูก ตาสีเขียว มักปรากฎขึ้นในอัลบั้มส่วนใหญ่ของวง Overkill มีการเปลี่ยนตำแหน่งนักดนตรีอยู่หลายครั้ง โดยมีนักร้องนำเสียงแหลมทรงพลัง บ๊อบบี "บลิตซ์" เอลสเวิร์ธ และ คาร์ลอส ดี.ดี. เวอร์นิ ยอดมือเบสผู้มีซาวนด์เป็นเอกลักษณ์ เป็นสมาชิกก่อตั้ง ร่วมกับ Anthrax (ซึ่งมีมือลีดกีตาร์ชื่อ แดน สปิตซ์ มาร่วมเล่นกับวงในช่วงแรกๆ) Overkill เป็นวงแธรชเมทัลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดจากแถวชายฝั่งตะวันออก
ประวัติ
Overkill เริ่มตั้งวงจากเถ้าถ่านของวงพังค์นาม "The Lubricant" ประกอบด้วย Rat Skates และ D.D.Verni ทั้งคู่ประกาศหาตัวนักร้องนำและมือกีตาร์ จนได้ตัว Blitz มาร่วมทีม ตอนแรกทางวงได้ใช้ชื่อต่างๆมากมาย รวมทั้งชื่อ "Virgin Killer" แต่ท้ายที่สุดทางวงก็ใช้ชื่อว่า "Overkill"
ในยุคของ Virgin Killer ทางวเน้นเล่นเพลงของ The Ramones ,The Dead Boys และอีกมาก และในช่วงปลายปีที่ 1980 ทางวงก็รับมือกีตาร์เข้ามา 2 คน เพลงที่เล่นก็เปลี่ยนไปเล่นของ Motorhead ,Judas Priest และ Riot ผสานด้วยอิทธิพลดนตรีเฮฟวี่ เมทัล แต่ทางวงก็ยังคงเล่นดนตรีพังค์อยู่ประปรายด้วย โดยเพิ่มซาวนด์เสียงแตกและความรวดเร็ว ทำให้พวกเขากลายเป็น 1 ในผู้บุกเบิกดนตรีสายแธรช เมทัลขึ้นบนโลก
1981 Rich Conte และ Bobby Gustafson เข้าร่วม ช่วงนี้ทางวงก็ได้เริ่มเขียนเพลงของตัวเอง ในปี 1983 Conte ก็ออกจากวง ทิ้งให้ Bobby G รับเหมาหน้าที่มือกีตาร์เพียงผู้เดียว
(ในช่วงนี้ Verni ก็ให้ฉายากับ Ellsworth ว่า Blitz เนื่องจากสไตล์การใช้ชีวิตที่สุดขั้วถึงขนาดทำให้เขาถูกไล่ออกจากวงเป็นเวลา 2-3 วันในช่วง 1983 ทีเดียว)
Rat Skates เป็นผู้ออกแบบโลโก้สีเขียวของทางวงเพื่อสร้างความโดดเด่นบนโปสเตอร์ที่เต็มไปด้วยโลโก้สีแดงและดำของวงอื่นๆ

ในปี 1983 ทางวงประกอบไปด้วย Blitz ,Bobby G ,DD.Verni และ Rat Skates ปล่อยงานเดโมในชื่อว่า Power in Black ซึ่งกลายเป็นที่นิยมเช่นเดียวกับ Exodus และ Testament จากฝั่งเบย์แอเรียที่มาแรงไม่แพ้กัน และจากเดโมตัวนี้เอง เพลง "Feel the Fire ได้เข้าไปสถิตย์ในงานรวมเพลงที่ชื่อว่า "New York Metal 84" ส่วนเพลง "Death Rider" เข้าไปรวมอยู่นงานรวมเพลงระดับตำนานที่ชื่อว่า "Metal Massacre" ชุดที่ 5
ต่อมาทางวงก็ได้เข้าร่วมทำสัญญากับค่าย Azra/Metal Storm Records ทำให้ในปี 1984 ทางวงก็ได้ออก EP 4 เพลง ชื่อ "Overkill" มันขายหมดอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดก็ได้เซ็นสัญญากับค่าย Megaforce Records ของ Jon Zazula ค่ายเพลงที่โดดเด่นที่สุดในวงการเฮฟวี่เมทัล ณ ตอนนั้น

Overkill ออกอัลบัม Feel the Fire ในปี 1985 เป็นอัลบัมที่อัดแน่นไปด้วยบทเพลงระดับตำนานมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Raise the Dead ,Rotten to the Core ,Second Son ,Hammerhead ,Feel the Fire ,Overkill แทบทุกเพลงเป็นแธรชเมทัลที่ตามหลอกหลอนชนิดติดหนังหูทั้งสิ้น (มี Cover เพลง Sonic Reducer ของ The Dead Boys ด้วย) มันได้รับการยกย่องจากแฟนๆอย่างล้นหลามว่าเป็นอัลบัมมาสเตอร์พีซ ทำให้ทางวงได้รับการจารึกเป็น 1 ในกำลังขับเคลื่องของแธรช เมทัลจากฝั่งตะวันออก
ช่วงปี 1985และ 1986 ทางวงแบ่งเวลาไปทัวร์ โดยออกทัวร์สนับสนุนอัลบัมในปี 85 และเล่นเปิดให้กับการทัวร์อัลบัม "Peace Sells.." ในประเทศอเมริกาของวง Megadeth ส่วนปี 86 ทางวงไปออกทัวร์ยุโรปร่วมกับวง Anthrax และ Agent Steel


1987 ทางวงก็ออกอัลบัม Taking Over โดยสังกัด Megaforce แล้วยังได้ความร่วมมือจากสังกัดใหญ่อย่าง Atlantic ด้วย
เพลงเด็ดๆในชุดก็คือ Deny the Cross ,Wrecking Crew ,Fear his name ,Use your Head ,Powersurge ชุดนี้ทางวงขัดเกลาการเขียนเพลงและการผลิต และมีความอลังการในเพลงมากขึ้น อันจะเห็นได้ในเพลง "In Union We Stand"
ที่ได้ทำเป็น มิวสิควีดีโอ เพื่อโปรโมทวงสู่สายตาผู้รับชมช่องดนตรีทางโทรทัศน์
การทัวร์ในยุโรปอีกครั้งจึงตามมา โดยความนี้ไปเล่นเปิดให้กับ Helloween ในช่วง 1987 EP "!!!FUCK YOU!!!" ก็วางแผง และเป็นผลงานสุดท้ายที่ Rat Skates ได้ร่วมเล่นกับทางวง
หลังจากที่ Rat Skates ออกจากวงไป ก็ได้ Mark Archibole มาช่วยเล่นในงานทัวร์ จากนั้นก็ได้อดีตมือกลองจากวงของ Paul Di'Anno อดีตนักร้องนำ Iron Maiden ที่ชื่อว่า Bob "Sid" Falck มาร่วมเล่นเป็นการถาวร

Overkill ออกอัลบัม Under the Influence ในปี 1988 เพลงเด่นก็คือ Shred ,Hello from the Gutter และอีกหลายเพลง ภายใต้การโปรดิวซ์ของ Alex Perialas อัลบัมนี้มีความเป็นแธรชและความดิบหยาบมากขึ้น ทว่าบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่และอลังการของงานชุดก่อนไป ทำให้ได้รับคำวิจารย์ในแง่ลบอยู่บ่อยครั้ง
เพลง "Hello from the Gutter" กลายเป็นซิงเกิล และได้เป็นมิวสิค วิดีโอ ออกในรายการ Headbangers Ball ของช่อง MTV ทำให้ Overkill โด่งดังไปทั่วโลก และได้รับการขนานนามว่าเป็นวงเมทัลที่เล่นสดได้อย่างมีพลังที่สุด


The Years of Decay เป็นอัลบัมต่อมา ที่ได้ออกในปี 1989 โปรดิวซ์โดย Terry Date ผู้ผ่านงานกับวง 4 เสือดำ Pantera,White Zombie และ Soundgarden เป็นการผสมผสานความดิบของอัลบัม Under the Influence เข้ากับการโปรดักชันที่ดี และโครงสร้างเพลงที่ซับซ้อนและอลังการ ออกมาเป็นเพลงที่มีบรรยากาศตึงเครียดและยาวเหยียด ประกอบด้วยไตเติลแทร็คที่ยาว 8 นาที และเพลงความยาว 10 นาที "Playing With Spider/Skullcrusher" เพลง "Elimination" กลายเป็นซิงเกิลและได้ฉายใน Headbangers Ball เพลงนี้กลายเป็นที่นิยมของแฟนๆ และได้เล่นในการแสดงสดทุกครั้ง แม้จะเวลาผ่านมากว่า 20 ปีแล้วก็ตาม การทัวร์สนับสนุนอัลบัมนี้ถูกตั้งชื่อว่า "Dawn of the Decade" ร่วมกับเพื่อนร่วมค่ายอย่าง Testament อัลบัมนี้ายได้ 2 ล้านชุดทั่วโลก


แต่เมื่อมีช่วงโด่งดังก็ย่อมต้องมีช่วงตกต่ำ ในปี 1990 Bobby G ก็ออกจากวง และได้ Rob Cannavino ผู้เป็นกีตาร์เทคให้ Bobby G และ Merrit Gant มาเสริมในตำแหน่งกีตาร์แทน


Overkill ออก Horrorscope ใน 1991 โดยยังคงมี Terry Date มาควบคุมการผลิตเช่นเดิม ตัวเพลงประกอบด้วยริฟฟ์กีตาร์ที่เกรี้ยวกราด ภาคโซโลของ 2 ขุนขวาน และการแต่งเพลงของ Blitz และ Verni สงบความกลัวจากแฟนๆที่ทราบข่าวการสูญเสียแกนนำในการแต่งเพลงอย่าง Bobby G ได้อย่างรวดเร็ว เพลงในชุดนี้มีความมืดมนและหนักหน่วงขึ้น ทางวงส่งเพลงอันเนิบช้าอย่าง Horrorscope เป็นซิงเกิล มันเป็นการหลีกหนีจากซิงเกิลส่วนใหญ่ที่จะเป็นเพลงที่รวดเร็ว กระนั้นทางวงก็ยังคงมุ่งมั่นกับการทัวร์ต่อไป แสดงให้เป็นว่าพวกเขายังคงเป็นวงที่เล่นสดได้ทรงพลังเป็ฯอันดับต้นๆของสายแธรช เมทัล
ระหว่างการทัวร์ชุด Horrorscope มือกลอง Sid ก็ได้ออกจากวง โดยมี Tim Mallare มาเล่นแทน

1993 เริ่มเข้าสู่ยุคเสื่อมของวง ด้วยอัลบัม "I Hear Black" ที่มีการผลัดใบจาก เฮฟวี่/แธรชใน Horrorscope มามีกลิ่นอายเป็น สโตเนอร์/บลูส์ร็อค ด้วยอิทธิพลของ Black Sabbath ชุดนี้มี "Spiritual Void" เป็นมิวสิค วิดีโอ ทว่าประสบความล้มเหลว การทัวร์ทวีบยุโรปเพื่อสนุบสนุนชุดนี้มีชื่อว่า "World Of Hurt Tour" ที่มีวง Savatage และวง Non-Fiction เป็นวงสนับสนุน

เดือนกันยายน ปี 1994 Overkill ออกอัลบัมที่โปรดิวซ์กันเองที่ชื่อว่า W.F.O. (ย่อมาจาก Wide Fukin' Open) โดยชุดนี้กลับมาสู่ความเป็นโอลด์สคูลแธรชเมทัลที่รวดเร็ว มิวสิควีดิโอคือ "Fat Junkie" ที่ได้รับการเพิกเฉยจากช่อง MTV เนื่องจากการเปลี่ยนกระแสของเมนสตรีมและการออกอากาศที่ถูกบีบอัดลงของวงดนตรีเมทัล แต่ในฤดูใบไม้ร่วงพวกเขาก็ออกทัวร์ในยุโรปโดยมี Jag Panzer กับ Massacra เล่นสนับสนุน
ด้วยการครอบครองการออกอากาศในสหรัฐฯของดนตรีกรันจ์ และการที่เคลื่อนวิทยุสายเฮฟวี่เมทัลหลายแห่งได้ปรับเปลี่ยนแนวทาง ทำให้อัลบัม W.F.O. ประสบความล้มเหลวในการหาผู้ขม ในปี 1995 ทางวงก็ได้ออกจากสังกัด Atlantic เนื่องจากขาดการสนับสนุนของทางสังกัด



ในเดือนมีนาคมของปีเดียวกันนั้นเอง ทางวงก็ออกอัลบัมแสดงสดชุดแรกในชื่อ Wrecking Your Neck โดยทำเป็น CD คู่ความยาว 100 นาที โดยการผลิตครั้งแรก จะมีบรรจุ CD EP Overkill เป็นของแถม มิวสิควิดีโอ "Bastard Nation" ก็ออกอากาศ แต่ก็ไม่ได้รับความสำเร็จในสหรัฐฯเช่นเคย

ปลายปี 1995 มือกีตาร์คู่ Rob Cannavino และ Merritt Gant ก็ตัดสินใจออกจากวง โดย Cannavino ออกไปทุ่มเทเวลาออกกับการแข่งรถมอร์เตอร์ไซค์ และ Gant ออกไปเนื่องจากต้องทุ่มเทเวลาให้กับครอบครัว แต่ Overkill ก็สร้างความประหลาดใจ เมื่อพวกเขาจ้างอดีตนักร้องนำวง Liege Lord ชื่อ Joe Comeau มาเล่นกีตาร์ แล้วตัว Comeau ก็ยังชักชวนอดีตมือกีตาร์วง Anvil ชื่อ Sebastian Marino เข้ามาด้วย ทางวงออกอัลบัม The Killing Kind ในปี 1996 โดยยังคงเป็นการโปรดิวซ์กันเอง และมิกซ์โดย Chris Tsangarides ผู้ผ่านงานกับ Judas Priest เข้ามาช่วย ส่งผลให้ดนตรีเปลี่ยนจากแธรชแท้ๆจากงานในชุดก่อน โดยมีการเพิ่มอิทธิพลของฮาร์ดคอร์เข้ามาด้วย และด้วยความที่ Comeau เป็นนักร้อง เขาจึงทำหน้าที่ร้องเสริมในชุดนี้ ทำให้ซาวนด์ของวงในอัลบัมนี้มีสีสันมากขึ้น อัลบัมนี้ส่งผลออกมาในทางบวกมากขึ้น แฟนในยุคเก่าๆของวงที่เริ่มต่อต้านเพลงในยุคนั้นยกย่องให้ชุดนี้เป็น 1 ในผลงานที่ดีที่สึดในขณะนั้น
ทางวงเดินสายออกทัวร์ 2 ครั้งในยุโรปเพื่อโปรโมทอัลบัม The Killing Kind โดยครั้งแรกออกทัวร์ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1996 กับวง Megora และ Accuser และครั้งที่ 2 ในเดือนพฤศจิายน ร่วมกับ Anvil และ Stahlhammer ในฤดูร้อน ปีเดียวกันนี้เอง ทางวงก็มีส่วนร่วมในอัลบั้มรวมเพลงชุดที่ 2 ชื่อ "Legends Of Metal - A Tribute To Judas Priest" ของสังกัด Century Media โดย เล่นเพลง Tyrant ซึ่งเป็นเพลงที่มีสไตล์เป็นของทางวงเอง

ในฤดูร้อน ปี 1997 ทางวงออก "!!!Fuck You!!! and Then Some" เป็นอัลบัมที่มี EP "!!!Fuck You!!!" และ "Overkill" รวมทั้ง 2 เพลงในเวอร์ชันแสดงสดจากโปรโมปี 1990 รวมอยู่ด้วย เดือนตุลาคม ปีเดียวกันนั้น อัลบัม "From The Underground And Below" ก็วางแผง ชุดนี้นำอิทธิพลดนตรีอันทันสมัยจากชุดก่อนเข้ามาช่วย มิวสิควีดิโอจากชุดนี้ คือเพลง "Long Time Dyin" แต่เนื่องจากการไร้ตัวตนของดนตรีเมทัลในขณะนั้น มันจึงไม่แม้แต่จะได้ออกอากาศทางโทรทัศน์ ทางวงจึงออกทัวร์ยุโรปเพื่อสนับสนุนผลงานนี้ โดยเริ่มขึ้นในเดือนเมษายน ปี 1998 ร่วมกับวง Nevermore Angel Dust และ Noctunal Rites



ในปี 1998 Blitz ตรวจพบมะเร็งร้ายแรงที่จมูก ทำให้ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยเร่งด่วน โชคดีที่สามารถกำจัดมะเร็งได้ในขณะที่ยังไม่ลุกลาม หลังการพักรักษาตัว ทางวงก็เริ่มทำงานที่ 10 ชื่อ Necroshine โดยเป็นการโปรดิวซ์กันเอง ออกวางแผงในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1999 ทำให้ Overkill เป็นวงแธรช เมทัลวงแรกๆ ที่ออกอัลบัมมาถึง 10 ชุด อัลบัมนี้มีการทดลองสไตล์การร้องที่แปลกใหม่มากขึ้นจากงานก่อน แต่ผลการตอบรับก็ยังดีอยู่

หลังออกอัลบัมนี้ Sebastain Marino ก็ออกจากวง เพื่อไปทุ่มเทเวลาให้กับครอบครัวของเขา เขาถูกแทนที่ด้วยมือกีตาร์ชาวนิว เจอร์ซีย์นาม Dave Linsk ผู้เคยเล่นกับวง Anger On Anger ทางวงทัวร์ยุโรปในเดือนมิถุนายน และได้ร่วมเล่นในงานเทศกาล Dynamo และ With Full Force


ในปี 1999 เดือนกันยายน อัลบัมคัพเวอร์ Coverkill ก็วางแผง โดยมีเพลงของวงที่มีอิทธิพลต่อ Overkill อยู่ เช่น Black Sabbath (มีเพลงอยู่ไม่น้อยกว่า 3 เพลง) Kiss ,Manowar และ The Ramones บางเพลงสามารถหาฟังได้ในงานรวมเพลง หรือในแบบโบนัสแทร็คที่วางขายในญี่ปุ่น (แต่บางเพลงก็ถูกดองมาจากช่วงที่อัดอัลบัม Under The Influence ไม่ก็เพิ่งอัดกันในช่วงที่ทำอัลบัมนี้) การทัวร์เต็มรูปแบบสำหรับอัลบัมนี้และ Necroshine เริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2000 โดย Overkill เป็นวงหลักร่วมกับวงแธรชจากแคนาดา ชื่อ Annihilator โดยมีวงจากเยอรมันชื่อ Dew-Scented เป็นวงเปิด


ระหว่างการทัวร์ในยุโรป นักร้องของ Annihilator ก็ถูกไล่ออกเนื่องจากพฤติกรรมที่สร้างความแตกแยก ในไม่กี่เดือนต่อมา Joe Comeau ก็ยืนยันการเข้ารับตำแหน่งแทนที่เขา ทำให้เขาต้องออกจากวง Overkill กลับเข้าสู่ห้องอัด โดยคราวนี้มี 4 คน อัลบัมออกมาในฤดูใบไม้ร่วง ในนาม Bloodletting เป็นอีกครั้งที่โปรดิวซ์โดยทางวงเอง และมิกซ์โดย Colin Richardsonเดือนพฤศจิกาในปีนั้น ทางวงออกทัวร์โดยเป็นแขกรับเชิญให้กับการทัวร์รอบโลกเพื่อสนับสนุนอัลบัม "Resurrection" ของวง Halford ด้วยความที่ทางวงยังไม่สามารถหามือกีตาร์คนที่ 2 ได้ Joe Comeau จึงกลับมาร่วมเล่นกับทางวงเป็นการชั่วคราว ใน 2 โชว์สุดท้ายของวง ทางวงก็ต้องใช้บริการนักดนตรีชั่วคราวอีกครั้ง เมื่อภรรยาของมือเบส D.D. Verni กำลังจะคลอดลูกคนที่ 2 Verni จึงถูกแทนที่โดนมือเบสจากวงของ Dee Snider ชื่อ S.M.F. เขาชื่อว่า Derek "The Skull" Tailer ในต้นปี 2001 Tailer ก็ได้รับตำแหน่งเป็นสมาชิกของ Overkill โดยคราวนี้หาใช่มือเบส แต่มาเล่นตำแหน่งกีตาร์ที่ว่างลงแทน


หลังจากพักผ่อน Overkill โผล่มาอีกครั้งในปี 2002 กับอัลบัมแสดงสดชุดที่ 2 ชื่อ Wrecking Everything บันทึกที่โรงละคร Paramount ใน Asbury Park รัฐ New Jersey เพลงในชุดนี้ไม่มีเพลงจากชุด Wrecking Your Neck อยู่เลย อัลบัมนี้มีเพลงจากชุด Taking Over และ Under The Influence อยู่มากกว่า ในปี 2002 อัลบัมแสดงสดชุดนี้ก็ถูกทำออกเป็นรูปแบบ DVD ชื่อว่า "Wrecking Everything - An Evening In Asbury Park"

การทัวร์ยุโรปเริ่มในเดือนมิถุนายน ปี 2002 เพื่อสนับสนุนอัลบัม Bloodletting และ Wrecking Everything โดยมีวง Blaze และ Wicked Mystic เป็นวงเปิด ระหว่างการทัวร์ 1-2 ครั้งสุดท้ายใน Nuremburg ประเทศเยอรมันนี Blitz ก็ล้มป่วยและหมดสติบนเวที 3 วันต่อมา ข่าวลือมากมายก็แพร่สะพัด บ้างก็ Blitz เข้าขั้นโคม่า บ้างว่าเขาเป็นอัมพาตถาวร บ้างก็ลือว่าเขาตายแล้ว แต่ 3 วันต่อมา ทางวงก็ออกมาแถลงว่าอาการของ Blitz ลดน้อยลงจนไม่มีผลกระทบอีกแล้ว

ทางวงมุ่งหน้าสู่ห้องอัดเพื่อทำอัลบัม Killbox 13 โปรดิวซ์โดยทางวงและมิซ์กโดย Colin Richardson ออกวางแผนในเดือนมีนาคม ปี 2003 ได้รับผลตอบรับที่ดี แต่ระหว่างการทัวร์ยุโรป ทางวงก็ต้องเล่นโดยปราศจาก Derek Tailer ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่มีการเปิดเผย ไม่มีใครถูกจ้างขึ้นมาเล่นแทนเขา ทำให้เป็นครั้งตั้งแต่ยุค 1990 ที่ทางวงออกทัวร์กันเพียง 4 คน แต่เขาก็ยังถูกพิจารณาเป็นสมาชิกเต็มตัวของวง

ในปลายปี 2004 หลังทัวร์ญี่ปุ่นร่วมกับ Death Angel และ Flotsam and Jetsam ทางวงก็เข้าห้องอัดของ D.D.Verni เอง อัลบัม ReliXIV ได้รับการโปรดิวซ์และมิกซ์โดยทางวงเอง วางแผงในปี 2005
Overkill ออกทัวร์อเมริกาฝั่งตะวันออกในเดือนเมษายนปี 2005 และก่อนที่พวกเขาจะออกทัวร์ยุโรป ทางวงก็ประกาศว่า Tim Mallare จะไม่มีส่วนร่วมในการทัวร์นี้ เขาถูกแทนที่โดนอดีตมือกลองจากวง Hades ชื่อ Ron Lipnicki ในฤดูร้อน ปี 2005 Overkill ออกทัวร์ในชายฝั่งตะวันตกเป็นครั้งแรกในรอบหลาย 10 ปี เล่นในฝั่งตะวันตกของแคนาดาจนถึงรัฐแคลิฟอร์เนียตอนใต้ การทัวร์ประสบความสำเร็จจนปี 2006 Overkill ได้เข้าร่วมงาน Gigantour ของ Dave Mustaine แห่ง Megadeth ในฐานะวงเฮดไลน์ที่ 2 เป็นการทัวร์รอบสหรัฐของ Overkill ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1994 เป็นต้นมา


Overkill กลับมาร่วมงานกับ Jonny และ Masha Zazula อดีตเจ้าของสังกัด Megaforce ผู้มีส่วนร่วมกับค่าย Bodog Music Overkill ปล่อยอัลบัมที่ 15 ในชื่อ Immortaliis ในวันที่ 9 เดือนตุลาคม ปี 2007 อัลบัมประกอบด้วยแกนนำ Blitz ร้องนำ ,D.D. Verni มือเบส ,มือกีตาร์คู่ Derek Tailer และ Dave Linsk ร่วมกับสมาชิกคนล่าสุด Ron Lipnicki มือกลอง โดยมีนักร้องนำวง Lamb of God ชื่อ Randy Blythe มาร่วมร้องนำเพลง "Skull And Bones" ด้วย

ในปี 2009 วันที่ 30 เดือนตุลาคม Overkill ประกาศชื่ออัลบัมใหม่ นั่นคือ Ironbound ออกวางขายในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ปี 2010 ซาวนด์และดนตรีชุดนี้เต็มไปด้วยพลังที่ชาวแธรชโหยหา เสียงร้องทรงพลัง  ซาวนด์เบสแข็งกระด้าง กลองรุกว่องไว ริธึมและลูกโซโลขั้นเซียนอัดเต็มอัลบัม
เราจะเห็นได้ว่า กว่า 30 ปีในวงการเมทัล Overkill พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาผ่านช่วงรุ่งเรือง ช่วงตกอับ ในขณะที่วงอื่นๆเปลี่ยนแปลงแนวทางไป บ้างก็กู่ไม่กลับ แต่ Overkill ก็ยังคงออกผลงานอย่างสม่ำเสมอ แม้จะไม่ได้รับการยอมรับในช่วงยุค 90 เท่าไรนัก แต่พวกเขาก็ไม่เคยละทิ้งดนตรีแธรช เมทัลที่เป็นรากเหง้าของตัวเองเลยสักครั้ง และท้ายที่สุด กลับมายืนสง่างามได้อีกครั้ง สมกับคำว่า...
Evil Never Die!!!

*ตอนเขียนบทความนี้เป็นช่วงปี 2011 ซึ่งทางวงยังไม่มีงานอัลบัมล่าสุด The Electric Age ที่ออกวางแผงเมื่อต้นปี 2012 ออกมา ไว้คราวหน้าผมจะมาเขียนรีวิวให้อ่านนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น